เทศน์เช้า

ไม่ใช่อัตตา

๒๘ ต.ค. ๒๕๔๓

 

ไม่ใช่อัตตา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

จริง ๆ เวลาอธิบายธรรมะก็อธิบายอย่างนั้นเหมือนกัน เราอธิบายธรรมะหรือครูบาอาจารย์อธิบายธรรมะนี่ อธิบายธรรมะให้พวกเรามั่นใจ แบบว่าหัวใจมันมีอยู่ เวลามันสะอาดไปแล้วนี่ มันต้องมี นี่นิพพานมี เปรียบเหมือนเสื้อผ้า หรือเหมือนเวลาว่า เหมือนผ้าจีวร ผ้าอะไรก็แล้วแต่ เวลาซักแล้วมันจะสะอาด สิ่งที่จะสะอาดนั้นคือใจ หัวใจสะอาด

นี่มันเป็นการอธิบายชั้นหนึ่ง ชั้นที่ให้ยอมรับว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ ทีนี้ว่าถ้ามรรคผลนิพพานมีอยู่ แต่ทีนี้มันเป็นการสวมรอยไง อ้างสวมรอยไปว่า สิ่งนี้เหมือนกับผ้าที่มีอยู่ ผ้าที่มีอยู่เวลาเราซักสะอาดขึ้นไปแล้วมันต้องมีใช่ไหม อันนี้มันเป็นวัตถุแล้ว เห็นไหม มันเป็นสมมุติ วิมุตติมันเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้

จิตนี้เป็นนามธรรม พอจิตนี้เป็นนามธรรมนี่ ต้องทำความสะอาดจิตนี้เป็นนามธรรม ทำลายกิเลสทั้งหมด จิตนี้เป็นนามธรรมแล้วต้องทำลายนามธรรมนั้น เวลาคนว่างแล้ว ว่างไว้นี่ อาจารย์พูดไว้ไง เมื่อก่อนเวลาว่างขึ้นไปถึงชั้นบนนี่ว่าเป็นความว่าง เข้าใจว่านี่เป็นนิพพาน รักษาความว่างอันนี้ไว้ตลอดเลย จนพิจารณาไปมันเสื่อม มันมีความเฉาให้เห็น ให้รู้สึกตัว ย้อนกลับมาดูแล้วทำลายความว่างอันนั้นออกไป ความว่างอันนั้นเหมือนกองขี้ควาย

นี่ท่านจะพูดประจำว่า “ความว่างนี้เหมือนกองขี้ควาย” ธรรมนี้เป็นธรรมล้วน ๆ ขึ้นไป ธรรมที่หลุดออกไปจากกองขี้ควาย ความว่าง เห็นไหม ความว่างนี่ที่ว่าถ้าจิตนี้มีอยู่ เวลาเขาถามเรื่องว่าเวลาอย่างพวกที่ว่าเขาไปปฏิบัติน่ะ บอกว่าต้องกำหนด กำหนดเลยนะ กำหนดเป็นการพิจารณาเข้าไป เพื่อจะไม่ให้มีความอยาก เพื่อจะทำลายเข้าไปวิปัสสนา

อันนี้มันไม่ถูก ไม่ถูกตรงที่ว่า มันไม่มีหลักการ อัตตานี้เป็นที่เกาะขึ้นไป จิตนี้เราต้องสร้างขึ้นมาก่อน สร้างเป็นสัมมาสมาธิ แล้วก็พยายามทำลายตัวเอง ทำลายตัวจิตเข้าไป แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมยิ่งทำลายยิ่งสะอาดไป ๆ สะอาดไปเรื่อย ๆ แต่ก็มีอัตตาไปเรื่อย ๆ อาจารย์บอกว่า “ต้องอาศัยอัตตาเข้าไป” จะบอกว่าอัตตานี้คือตัวกิเลสชัด ๆ แล้วธรรมะนี่เวลาเป็นนิพพานหรือเป็นอัตตานี่มันเป็นไปได้อย่างไร แต่เวลาอธิบายให้ฟัง อธิบายเพื่อความเข้าใจว่า มันสิ่งที่มีอยู่ เพราะว่าสิ่งที่ว่าถ้าจะเป็นอัตตานะ สิ่งที่มีอยู่มีอยู่แบบวัตถุนะ พอมีอยู่ก็เป็นภวาสวะ เห็นไหม

นี่มันเข้ากับอันนี้ ภพไง ภวาสวะ อาสวะ ๓ นี่ เจ้าคุณจูมถามหลวงปู่มั่น เห็นไหม กิเลสสวะนี่เข้าใจ อาสวะนี่เข้าใจ ภวาสวะนี่ไม่เข้าใจ ภวาสวะคือภพ คือว่าเสื้อผ้าที่สะอาดแล้วนี่ วัตถุที่สะอาดบริสุทธิ์นั้นน่ะ มันเป็นกิเลสได้อย่างไร? นั้นล่ะตัวกิเลสใหญ่ นั้นล่ะคือตัวภวาสวะ อย่างนั้นถ้าเป็นอัตตานะ นั้นคือตัวภวาสวะ เป็นอาสวะ ๓ ยังไม่สิ้นจากกิเลส นั้นคือตัววัตถุ คือตัวตน คือตัวที่ตั้งเลย

สิ่งที่ขยับ เปรียบนะ เปรียบเหมือนรถยนต์นี่ รถยนต์จอดอยู่ ดับเครื่องหมดสนิทอยู่กับที่ แต่รถยนต์มันต้องอาศัยที่จอดไหม? ต้องอาศัยอู่ แล้วจอดอยู่เราเดินผ่านรถยนต์ได้ไหม? เราต้องปะทะกับรถยนต์ รถยนต์นี่ขวางอยู่เราเดินผ่านไปไม่ได้เพราะเป็นวัตถุ ถ้าเป็นอัตตามันเป็นอย่างนั้น นี่ขนาดรถมันดับเครื่องอยู่นะ แล้วรถติดเครื่องอยู่ล่ะ รถติดเครื่องอยู่ แล้วเดี๋ยวนี้เกียร์อัตโนมัติด้วย ถ้าลองเข้าเกียร์ปั๊บนี่รถมันจะเคลื่อนไป

จิตนี้พลังงานมันมีอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับรถยนต์ติดเครื่องอยู่ตลอดเวลา นี่มันตัวภวาสวะ ตัวที่มันจะขับเคลื่อนออกไปรับรู้ต่าง ๆ ตัวนี้มันจะเป็นนิพพานได้อย่างไร ตัวนี้คือตัวกิเลส ตัวนี้คือตัวอวิชชา ตัวนี้คือตัวต้นขั้ว ตัวนี้คือตัวตอของจิตเลย ถ้าไล่เข้ามานะ แล้วที่ว่าต้องอาศัยอัตตาเข้าไป อาศัยสิ่งนี้เข้าไปก่อน ต้องอาศัยอัตตานะ แล้วที่ว่าอาศัยอัตตาเพื่อจับเข้าไปถึงตัวอนัตตา ถ้าอาศัยจับตัวอัตตาเข้าไปเรื่อย ๆ อัตตานี่มันต้องทำลายตัวที่ว่าตรงจุด งานที่เราควรจะทำงาน ตัวที่เราแก้ไข หัวใจของเรานี่ มันจะต้องมีที่แก้ไข ถ้าไม่มีที่แก้ไขจะแก้ไขที่ไหน

สิ่งที่เป็นนามธรรม เห็นไหม ถึงต้องอาศัยยึดอัตตาก่อน เราว่าไม่ยึดอัตตาเลย พอยึดอัตตา ยึดอัตตาว่าอัตตานี้ผิด ต้องพิจารณาเป็นอนัตตา ต้องอนัตตาในอัตตานั้นไง จับอัตตาตั้งนี้เป็นโจทย์ แล้ววิปัสสนา พอวิปัสสนามันจะกลายเป็นอนัตตา อนัตตานี้คือทำลายตัวอัตตา ทำลายตัวอัตตาเข้ามาเป็นชั้น ๆ เข้าไป เห็นไหม จนทำลายอัตตาออกทั้งหมด ฉะนั้นพอทำลายอัตตาออกไปทั้งหมดนี่ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ที่ว่าไม่เป็นอัตตา ไม่เป็นจุด ไม่เป็นต่อม ไม่เป็นวัตถุ ไม่เป็นสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น มันมีอยู่แบบนั้น ไม่ใช่มีอยู่แบบอัตตา ถ้ามีอยู่แบบอัตตานั้นคือตัวอวิชชา ตัวอวิชชานั้นคือตัวอัตตาจริง ๆ เลย ตัวเริ่มต้นตัวอัตตา

นี่มันถึงว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม อาจารย์พูดบ่อย ว่าจิตนี่แทรกเข้าไปในเม็ดหินเม็ดทราย เห็นไหม มันไม่มี พอสิ่งที่ไม่มีเป็นนามธรรม มันถึงแทรกเข้าไปในเม็ดหินเม็ดทราย แทรกเข้าไปทุกอณูอากาศ แทรกเข้าไปทุกอย่างได้ คือว่าความเมตตาอันนั้นมันไปได้หมด

แต่ถ้าเป็นอัตตานี่มันเป็นวัตถุอยู่ มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นวัตถุอันหนึ่ง หรือว่าสิ่งใดอันหนึ่ง มันจะเข้าไปเอาอะไรมันก็ต้องติดข้องอันนั้นหมด มันต้องติดข้อง มันต้องปะทะไง สิ่งที่เป็นอัตตามันเป็นรูป เป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่มีอยู่นี่มันเป็นภวาสวะที่เริ่มต้น นี่คือว่าภพของใจสำคัญที่สุด นี่ตัวพาเกิดพาตาย จิตวิญญาณปฏิสนธินี้แหละ นี่ตัววิญญาณปฏิสนธิ นี่ตัวจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส

สิ่งที่ผ่องใสนั้นคือตัวอัตตา พอใสสว่างที่สุดนั้นน่ะอัตตา เพราะมันมีจุดและต่อมของความแสงสว่าง แสงสว่างนั้นจุดประกายจากตรงไหน? จุดประกายจากตรงที่ว่าเริ่มต้นของตัวอัตตานั้น สิ่งที่เป็นอัตตา แต่เขาไม่เห็นไง พอเขาไม่เห็นมันก็เป็นความว่าง เป็นอะไร เห็นไหม อันนี้เป็นตรรกะ ทีนี้เวลาที่ว่าเขาพูดน่ะ เขาพูดเปรียบเทียบ พูดเปรียบเทียบว่า สิ่งนั้นมีอยู่ มันจะสะอาดไปแล้ว

อันนั้นมันเป็นวัตถุ เป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติ วิมุตติ มันห่างกันกี่ขั้นตอน สมมุติเป็นสมมุติ เป็นสมมุติหมด นี่ตรรกะที่เขาว่ากัน ใช้ตรรกะเข้าไปวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องของธรรมะ นี้มันเป็นไปไม่ได้ ถึงบอกว่ามันไม่ใช่เป็นอัตตา แล้วไม่ใช่เป็นอนัตตาทั้งหมด อัตตานี้เป็นเครื่องเริ่มต้น ตั้งต้นขึ้นมา ตั้งโรงงานขึ้นมา อนัตตาคือตัวทำลายโรงงานนั้น

อัตตาและอนัตตานี้เป็นเครื่องดำเนินของศาสนาเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนี้ไง สอนเรื่องว่า เดิมเริ่มต้นขึ้นมาเราก็ว่าจิตนี้มาจากไหน? ชีวิตนี้คืออะไร? เกิดนี้เกิดมาจากไหน? นั่นน่ะตัวจิต เราต้องจับตัวนี้ให้ได้ นี่จับอัตตาก่อน อาศัยอัตตา อาศัยความจับต้องตัวตนของเราได้ แล้วสาวเข้าไปทำงานของใจ สาวเข้าไปในหัวใจ สาวเข้าไปแล้วทำงาน

การทำงานนั้น ความแปรสภาพของงานนั้น เหมือนกับว่าตบะธรรมเผาผลาญ เห็นไหม ความเผาผลาญจากของดิบให้เป็นของสุก จากสุกเข้าไปเรื่อย ๆ นี้คือตัวอนัตตา จากดิบแล้วแปรสภาพ ความแปรสภาพจากดิบเป็นสุกนั้นคือตัวอนัตตา ตัวอนัตตานี้เป็นการเคลื่อนไป วุฒิภาวะของจิตนี้ขับเคลื่อนไป สูงขึ้น ๆ ไป นั้นเป็นอัตตาไปตลอด อนัตตาจนขั้นสุดท้าย ต้องมีอนัตตาตลอดไป

เห็นอนัตตา เห็นไตรลักษณ์ เห็นไหม เห็นไตรลักษณะ ผู้ที่เห็นไตรลักษณะตามความเป็นจริง จะปล่อยวางตามความเป็นจริงนั้น ถ้าไม่เห็นไตรลักษณะตามความเป็นจริง คาดหมายอย่างไรมันปล่อยวางตามนั้นไม่ได้ ถ้ามันปล่อยวางตามนั้นไม่ได้ มันก็ยังเป็นสิ่งนั้น สิ่งที่ว่าเกาะเกี่ยวอยู่ในใจนั้นตลอดไป

ถึงว่ามันคาดหมายไม่ได้ สิ่งที่คาดหมายไม่ได้ แต่เขาคาดหมายมา ทีนี้เขาพูดมานี่ มันเป็นการพูดที่ว่า ทำให้เรามันก็มีเหตุมีผล มีเหตุมีผลเราก็จะเชื่อตามไป หรือว่าเอาไว้เป็นกิ่งก้านที่ว่า เราเอาอันนี้เป็นประเด็นประเด็นหนึ่งที่ว่าเราฟังได้...มันฟังไม่ได้ มันฟังไม่ได้ในฐานะที่เขาอธิบายอัตตาเป็นนิพพาน แต่ถ้าอธิบายได้ว่านิพพานมีอยู่ เออ...อันนี้ได้ เหมือนสิ่งที่สกปรกแล้วสะอาดแล้วมันต้องมีอยู่ เห็นไหม อาสเวหิ อาสวะสิ้นไป จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ จิตนี้มีอยู่ จิตนี้เป็นผู้วิมุตติ

แต่จิตนี้เป็นนามธรรม นามธรรมสะอาดด้วยนะ ถ้านามธรรมโดยอัตตามันก็เป็นนามธรรมเหมือนกัน มันไม่เข้าใจ มันถึงว่างหมด ๆ เวลาว่างหมดมันจะส่งออกไป ความที่จิตนี้ส่งออกไป มันจะส่งออกไปดูข้างนอก แล้วมันจะว่าเป็นความว่างอยู่ แต่ว่างนั้น เห็นไหม ในเรือนว่างนั้นมีคนอยู่ ในเรือนว่างนั้นมีสิ่งที่ให้ค่า คิดถึงไง

เราเห็นอากาศ เราว่าอากาศ เห็นสิ่งต่าง ๆ เราว่าอะไร นั่นน่ะใครเป็นคนพูด แล้วบอกว่าสิ่งที่ว่าเรารู้สึกว่าเราเป็นความว่างน่ะ ใครเป็นคนว่าง นี่สิ่งที่ว่าเป็นความว่าง ถ้าอากาศนี่ อวกาศหรืออากาศข้างบนนี่เขาจะไม่รู้ตัวเขาเองว่าว่างหรือไม่ว่าง แต่ในหัวใจเราว่าง เราว่าเราว่าง แล้วใครเป็นคนให้ค่า สิ่งที่ให้ค่านั่นล่ะคือตัวมัน ทีนี้พอคือตัวมัน เห็นไหม มันถึงว่าทุกอย่างว่างหมด ๆ

นี่ทุกอย่างเราทำแล้วมันจะประสบผลที่เรา เราเป็นมนุษย์ เราเก็บหอมรอมริบ เราอะไรมานี่ เราจะสะสมของเราไว้ เราจะสะสมเข้าไป มันก็เป็นสมบัติของเรา ไอ้ความเห็นของเรานี่ มันคิดออกไปมันก็ว่าเป็นของเรา ๆ ของเรานั่นน่ะอัตตา นี่แหละตัวตนของมัน นี่แหละคือจุดที่ว่าต้องทำลายของมัน

มันถึงว่าเปรียบเหมือนวัตถุ เปรียบเหมือนรถที่ว่าจอดอยู่แล้วขวางอยู่เลย ขวางหัวใจอยู่ แต่หัวใจมันมองไม่เห็น พอหัวใจมองไม่เห็น นี้รถใคร ๆ ก็รู้นี่นะวัตถุมันชนแล้วมันสะเทือน แต่หัวใจมันสะเทือนไม่ได้ นี่มันถึงว่า “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ตนรู้จักตน ตนจับตนเองได้ ถึงจะแก้ไขตนเองได้ ตนไม่สามารถจับตนเองได้ ไม่เห็นตนเองได้ จะเอาอะไรแก้ไข

นี่ถึงว่าต้องเห็นอัตตาที่ว่าจะวิปัสสนาไง ถึงว่าการขุดคุ้ยหานี่ วิธีวิปัสสนามีสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ปัญญาก็เหมือนกัน ปัญญาต้องขุดคุ้ยหาตรงนี้ให้เจอก่อน กาย เวทนา จิต ธรรมนี่ สิ่งที่เป็นอัตตานี่ก็เป็นธรรมอันหนึ่ง ธรรมในหัวใจของเรา ถ้าเราจับต้องได้มันก็แก้ไขอันนี้ได้ มันถึงบอกว่า ถ้าอธิบายเปรียบเทียบว่าสิ่งนั้นมีอยู่...เป็นไปได้

ถึงว่าถ้าบอกว่าเขาผิด บางทีนี่ครูบาอาจารย์ก็อธิบายอย่างนี้ อธิบายอย่างนี้มันเป็นธรรมอย่างหยาบ ธรรมอย่างหยาบเพื่อให้เรามั่นใจว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ จิตใจนี่สัมผัสได้ ความเป็นจริงนั้นมีอยู่ อันนี้อธิบายถึงความมีอยู่ แต่ถ้าอธิบายถึงว่าสิ่งที่มีอยู่นี้เป็นอัตตา...ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย มันห่างไกลกันมาก ห่างไกลกันถึงว่า ทำให้เราฟั่นเฝือไปเลย เพราะว่าถ้าอย่างนั้นไปแล้วนี่ มันจะไม่มีการสมุจเฉทปหาน มันไม่มีการเลาะออกไป กิเลสเป็นชั้น ๆ เข้าไป พอมันจับต้องได้ นี่มีอยู่ นี่จับต้องได้ นี่รู้ไง ว่าอันนี้เป็นผลไง

แต่ถ้าตามหลักความเป็นจริง สิ่งที่ว่าเป็นอนัตตา เข้ามาเป็นชั้น ๆ เข้ามานี่ มันสมุจเฉทปหานเป็นชั้น ๆ เข้ามานะ กายหลุดออกไป เห็นไหม สักกายทิฏฐิหลุดออกไปก่อน กามราคะ ปฏิฆะอ่อนไป กามราคะปฏิฆะขาดไป ปฏิฆะนี่ความผูกโกรธของใจ มันผูกโกรธจากอะไร? ผูกโกรธจากสัญญา ผูกโกรธจากขันธ์ในหัวใจ ขันธ์ในหัวใจกับใจนี้ติดอยู่ด้วยกัน

แต่มันจะขาดออกไป พอขาดออกไป สัญญากับใจขาดออกไป พอขาดออกไปนี่ ความจำเดิมมันไม่มี ข้อมูลเดิมที่ว่าเราจะเอาขึ้นมาเป็นอารมณ์มันไม่มี นี่มันขาดออกไป พอกามราคะ ปฏิฆะขาดออกไป เห็นไหม มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ขาดออกไป ความขาดออกไปอันนั้น มันเห็นการขาดออกไป ถ้าเป็นอัตตาแล้วมันจะไม่เห็นการขาดออกไป มันจะจับต้องไป ๆ ๆ เพราะว่าเป็นอัตตาที่จับต้องได้

แต่ขณะที่เป็นอนัตตานี่ มันจะทำลายหมด ทำลายทั้งหมด ทั้งหัวใจก็ทำลาย พอโดนทำลายออกไปแล้วนี่ สิ่งที่ว่ามันเป็นนามธรรม มันเป็นทิฏฐิมานะ ความคิดที่ว่าขึ้นรูปได้นี่ มันจะสลายออกไป กลับคืนไปสู่สภาวะเดิมหมด แล้วพอขาดออกไปแล้ว เห็นไหม กลับมามีอย่างเก่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๔๕ ปีสอนมา เอาอะไรสอน? ก็เอาขันธ์ ๕ ที่ว่าขาด ๆ นี่มาสอน แต่ขันธ์ ๕ ที่กิเลสขาดออกไปแล้วมันขาดแล้วขาดมี ขาดแล้วกลับมาใช้ ใช้เป็นบริสุทธิ์ไง

ความที่บริสุทธิ์ เห็นไหม จากเดิมกิเลสใช้ขันธ์ ๕ นี้ เราทุกข์มาตลอดเลย แล้วธรรมเป็นคนใช้ล่ะ ธรรมใช้ขันธ์ ๕ สั่งสอนไป อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องหนึ่งก็เรื่องของความสะอาด เรื่องของประโยชน์ไง นั้นน่ะถึงว่ามันไม่ใช่เป็นอัตตาและเป็นอนัตตา เป็นธรรมทั้งแท่ง เอโก ธัมโม ธรรมอันเอก อันนั้นถึงว่าเป็นของจริง เป็นของจริงที่ว่าเราใฝ่หากัน ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ เอวัง